เจ้าหน้าที่เยี่ยมบ้าน
เมื่อผมได้ยินข่าวเกี่ยวกับโรคเอดส์ ผมไม่เคยคิดว่าผมจะติดเชื้อ ผมเริ่มใช้ยาเสพติดเมื่ออายุ 14 ปี
ต่อมา ผมก็เริ่มใช้เฮโรอีนโดยการใช้เข็มฉีดยา
ผมไม่ค่อยใกล้ชิดกับพ่อแม่ ทั้งสองได้แยกทางกันตั้งแต่ผมอายุเพียง 3 ขวบ ผมจึงต้องไปอยู่กับป้า เพราะแม่ผมมีลูกหลายคนและต้องดูแลลูกด้วยตัวเองตามลำพัง
ผมกลับมาอยู่กับแม่ตอนผมเข้าเรียนระดับมัธยม แม่ออกไปทำงานแต่เช้าและกลับบ้านเมื่อผมเข้านอนแล้ว ผมจึงไม่ค่อยได้พบท่าน อาจเป็นเพราะผมไม่ค่อยได้อยู่กับแม่ ผมจึงไม่สนิทกับท่าน ผมใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับเพื่อน เพื่อนของผมใช้ยาเสพติดและบางคนก็มีไว้ขายด้วย บางวันเมื่อผมกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้าน ผมจะเห็นพี่ชายของผมเสพยา ผมเลยอยากทดลองดูบ้าง เพราะอยากรู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรเวลาเสพยา ผมทดลองสูบกัญชา ใช้มอร์ฟีนและเฮโรอีนจนกระทั่งผมเสพติด ต่อมาผมก็เริ่มขายยาเสพติดเพราะทำให้ได้เงินง่าย ไม่ต้องลงทุนมาก และได้เงินมากภายในเวลาอันรวดเร็ว ตอนนั้น ผมคิดแต่เพียงว่าผมไม่ต้องพึ่งพาใครแล้ว ผมได้เงินมากและก็ใช้จ่ายมาก อยากได้อะไรก็ซื้อได้ ผมมีเงินไปโรงเรียน จ่ายค่าเทอมเอง โดยไม่ต้องขอเงินจากแม่
หลังจากที่ผมใช้เข็มฉีดเฮโรอีนและเข้าอยู่ในธุรกิจค้ายาเสพติด ผมก็ยิ่งเสพติดหนักขึ้น ผมหยุดใช้มันไม่ได้ มีแต่ต้องการยามากขึ้น และมากขึ้น
ตอนผมอายุ 15 ปี ผมถูกตำรวจจับพร้อมกับคนอื่นๆอีกราว 30 คน เราถูกขังรวมในห้องขังเดียวกัน ในนั้นเสพยากันทุกคน และบางคนมีเข็มฉีดยาซ่อนไว้ จึงแบ่งกันใช้เข็มฉีดยานั้น ผมคิดว่าผมติดเชื้อเอดส์จากที่นั่น
อายุ 16 ปี ผมถูกจับข้อหาจำหน่ายยาเสพติดและถูกส่งไปอยู่ในสถานพินิจ เพราะผมถูกจับเป็นครั้งที่สอง เขาจึงนำเลีอดของผมไปตรวจ พยาบาลบอกว่าผมติดเชื้อเอดส์ ตอนนั้นไม่มีข้อมูลหรือคำแนะนำอะไรมาก ผมจึงไม่ได้สนใจอะไร คิดแต่เพียงว่าเอดส์ก็คือโรคที่มากับการเสพยา ผมแล้วก็ยังแข็งแรงดี จึงไม่ได้คิดอะไร
เมื่อออกจากสถานพินิจกลับมาบ้าน ผมก็ใช้ชีวิตตามปกติ ผมไม่มีงานอะไรทำ นอกจากขายยาเสพติด แต่ผมก็มีความสุขเพราะผมมีรายได้ ได้ใช้ยาเสพติด ผมถูกนำตัวส่งสถานพินิจ 2 ครั้ง
พออายุ 20 ปี ผมมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับแก๊งวัยรุ่นและได้รับบาดเจ็บ นิ้วขาดไปนิ้วหนึ่ง และถูกนำส่งโรงพยาบาล แพทย์ต้องทำการผ่าตัด เมื่อตรวจเลือด แพทย์ก็บอกว่าผมติดเชื้อเอดส์แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลหรือคำแนะนำอื่นใด เมื่อย่างเข้าอายุ 22 ปี ผมก็ข้องเกี่ยวกับยาเสพติดอีก ติดคุกและถูกนำส่งสถานบำบัดยาเสพติด ที่นั่นผมได้รับความรู้เกี่ยวกับเอดส์บ้าง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่า ที่สุดคนเราก็ต้องตายสักวัน
เมื่อผมถูกปล่อยตัวออกมาจากสถานบำบัด ผมได้งานเป็นเซลส์แมนในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ผมเก็บเงินเพื่อลงทุนทำธุรกิจ แต่ไม่สำเร็จ ธุรกิจขาดทุน ผมตกเป็นหนี้ จึงยืมเงินเพื่อนใช้ ช่วงนั้นยาบ้ากำลังเริ่มแพร่หลายในประเทศไทย ผมจึงกลับไปใช้วิธีแบบเดิมโดยการขายยาบ้า ผมคิดว่าคงเป็นวิธีที่ดีที่ผมจะสามารถใช้หนี้ได้
หลังจากทำไปได้ประมาณ 1 ปี ผมก็ถูกจับติดคุกอีก คราวนี้ผมถูกส่งไปยังเรือนจำลาดยาว ที่นั่นนักโทษส่วนใหญ่ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ผมมีเรื่องกับนักโทษคนหนึ่ง หัวแม่เท้าผมหักและถูกนำส่งโรงพยาบาล คราวนี้แพทย์อธิบายให้ผมเข้าใจเกี่ยวกับเอดส์และสอนให้ผมรู้จักวิธีดูแลตัวเอง
ผมถูกจำคุกอยู่ 2 ปี และได้รับการปล่อยตัวตอนอายุ 24 ปี เมื่อออกมาแล้วผมก็ยังกลับไปใช้ยาเสพติดอีกแต่คราวนี้สภาพจิตใจของผมไม่มั่นคง ผมเบื่อง่ายและรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า ผมได้งานทำแต่สุขภาพของผมเริ่มทรุดโทรมลง ผมป่วยและถูกนำส่งโรงพยาบาลบ่อยครั้ง ช่วงนั้นผมอาศัยอยู่กับพี่สาว ซื่งดูแลช่วยเหลือผมเสมอ เขาเอาใจใส่ผมตลอดเวลา ค่ารักษาพยาบาลของผมแพงมาก ผมรู้สึกสิ้นหวังและใกล้ตาย ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
แต่แล้วชีวิตของผมก็เปลี่ยนไป เมื่อพี่สาวได้ข้อมูลเกี่ยวกับศูนย์เมอร์ซี่ซึ่งดูแลผู้ป่วยติดเชื้อเอดส์ นักสังคมสงเคราะห์ที่โรงพยาบาลคนหนึ่งแนะนำให้เพื่อนชายของพี่สาวของผมติดต่อกับศูนย์เมอร์ซี่ เพราะที่นั่นเขาช่วยผู้ป่วยฟรีไม่คิดค่าใช้จ่ายอะไร ซึ่งผมก็ไม่ได้คัดค้านอะไร ผมบอกเขาว่า “จะเอาผมไปอยู่ที่ไหนก็ไป ผมใกล้จะตายอยู่แล้ว” ที่ศูนย์เมอร์ซี่ ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป เจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ ดูแลผู้ป่วยทุกคนเสมือนญาติของตนเอง ผมถามตัวเองว่าจะถอดใจหรือว่าจะลุกขึ้นและสู้ชีวิตต่อไป ผมหวนกลับไปคิดถึงชีวิตของตนและคิดว่าผมเห็นแก่ตัวมาก ไม่เคยสนใจใครนอกจากตัวเอง ผมมองเห็นคนที่นอนอยู่บนเตียงข้างๆผม เขาพยายามต่อสู้เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป ที่สำคัญผมพบว่าตัวผมยังมีชีวิตอยู่
ผมได้รับการรักษาวัณโรค เพี่อนๆของพี่สาว เพื่อนๆของผม คนไข้รายอื่นๆและเจ้าหน้าที่ของศูนย์เมอร์ซี่ ต่างก็ให้กำลังใจผม ทำให้ผมอยากต่อสู้เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป หลังจากรักษาตัวอยู่ที่ศูนย์เมอร์ซี่ได้ 2 ปี ผมได้เข้าโครงการรับยาชุดต้านไวรัสเอด ซึ่งทำให้สุขภาพของผมดีขึ้นมาก ผมสามารถมีชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง ผมกลับไปทำงานได้ 8 เดือน ศูนย์เมอร์ซี่ก็ชักชวนให้ผมมาทำงานกับทีมเยี่ยมบ้าน ผมมีความต้องการที่จะช่วยให้ผู้ติดเชื้อได้รับความรู้ด้านเอดส์อยู่แล้ว ผมจึงไม่ปฏิเสธที่จะรับงานนี้
จากการทำงานเยี่ยมบ้าน ผมพบว่าผู้ป่วยติดเชื้อเอดส์ที่อาศัยอยู่ในชุมชนแออัดต้องประสบกับปัญหาอุปสรรคมากมายในการขอรับความช่วยเหลือ จากภาครัฐ พวกเขามีความรู้เพียงเล็กน้อยในการป้องกันโรดเอส์และการดูแลรักษา ผู้ป่วยจะเบื่อหน่ายกับระบบบริการในโรงพยาบาลของรัฐ เพราะต้องเข้าคิวรอคอยเป็นเวลานานทั้งวัน หลายคนจึงเลือกที่จะไม่ไปรักษา ผมหวังว่าสักวันหนึ่งโรงพยาบาลจะสามารถให้บริการแบบ ”ได้รับทุกอย่างครบ ในการไปโรงพยาบาลครั้งเดียว “ ( one stop service ) ผู้ป่วยหลายคนเห็นว่า โรงพยาบาลต่างๆ มุ่งหากำไรมากกว่าจะสนใจในสุขภาพของผู้ป่วย บางโรงพยาบาลมีกฎที่ทำให้คนไข้ไม่สามารถรักษาต่อเนื่องได้
ผมหวังว่าสักวันหนึ่งผู้ติดเชื้อ HIV จะสามารถใช้ชีวิตอย่างปกติในสังคมร่วมกับผู้อื่น โดยไม่ถูกแบ่งแยก กีดกัน หรือดูถูกเหยียดหยาม
สำหรับตัวผม จะพยายามทำสิ่งต่างๆอย่างดีที่สุด “ เราไม่สามารถเปลี่ยน หรือแก้ไขสิ่งใดๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต แต่เราสามารถเลือกใช้ชีวิตต่อไป อย่างมีศักดิ์ศรีได้ “ ผมต้องการทำงานอย่างดีที่สุดและช่วยเหลือผู้ป่วยให้มากที่สุด ผมหวังที่จะเห็นโครงการนี้ขยายงานออกไปเพื่อช่วยแก้ปัญหาทางจิตใจและแก้ปัญหาทั้งความต้องการด้านการเงินและสภาพแวดล้อม
ผมใช้เวลานานมาก ในการที่จะเรียนรู้ ว่าความรักและความอบอุ่นในครอบครัวนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สิ่งนี้เป็นประสบการที่ดีที่สุดในชีวิตของผม ผมได้บทเรียนนี้จากผู้ที่อยู่รอบข้างตัวผมในศูนย์พักฟื้นผู้ป่วยของศูนย์เมอร์ซี่ ความช่วยเหลือจากผู้อื่นสอนผมให้รู้ว่า ความรักในครอบครัวและเพื่อนเป็นยารักษา ที่ดีที่สุดในโลก
More voices: