22 ธันวาคม 2553
วันนี้เป็นวันคริสต์มาส ณ ชุมชนแออัดย่านคลองเตย พวกเราได้พยายามและทุ่มเทกันมาตลอดทั้งปีเพื่อตามหาพ่อแม่ของเด็กที่ถูกทอด ทิ้งเหล่านี้ เด็กๆที่มีศูนย์เมอร์ซีเป็นเหมือนบ้านของพวกเขา บ้านเพียงหลังเดียวที่เขาจำได้ พวกเขาอยากรู้ว่าตนเองมาจากไหน อยากมีความทรงจำในอดีตเหมือนคนอื่นๆ แม้จะเป็นความจริงอันเจ็บปวดและไม่น่าชื่นชมยินดีเลย แต่ถึงอย่างไรมันก็จะทำให้พวกเขาสามารถเล่าเรื่องราวของตนเองได้ และมีโอกาสได้กลับไปที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านของเขา แม้จะเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆก็ตาม การตามหาบ้านที่แท้จริงของเด็กๆโดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทอันห่างไกลนั้นช่าง เป็นงานที่ยากลำบากจริงๆ และก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกเช่นกันที่จะต้องตามหาพ่อแม่ของเด็ก ซึ่งไม่อยากเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความพยายามและตั้งใจจริงก็ทำให้พวกเราประสบผลสำเร็จมาแล้วหลายต่อหลาย ครั้ง
หากจะเปรียบก็คงเหมือนครอบครัวของพระเยซูคริสต์ที่ได้เดินทางออกจาก อียิปต์ เพื่อกลับบ้านของตน การเดินทางอันยาวไกลจากอียิปต์มุ่งหน้าสู่เมืองกาลิลีด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น งดงามแม้จะต้องเจ็บปวดและพบกับภยันอันตรายหลายต่อหลายครั้ง เช่นเดียวกับเราที่จะได้กลับบ้านในวันคริสต์มาสนี้
และเนื่องจากวันนี้เป็นวันคริสต์มาสเราจึงขอถ่ายทอดเรื่องราวอันศักดิ์สิทธิ์ดังต่อไปนี้
นี่เป็นเรื่องราวของโจเซฟ มารี และลูกน้อย...พระเยซูคริสต์ โจเซฟมีอาชีพเป็นช่างไม้รับจ้างเดินทางไปมาระหว่างหัวเมืองต่างๆในอียิปต์ เพื่อหางานทำเลี้ยงชีพ รับงานก่อสร้างทั้งงานไม้และงานหิน ตามตำนานเล่าว่าโจเซฟและครอบครัวต้องหลบหนีออกจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมือง หนึ่งอยู่เสมอ สาเหตุก็เป็นเพราะทุกครั้งที่พวกเขาเดินผ่านรูปปั้นใดๆ ก็มักจะทำให้รูปปั้นเหล่านั้นพังทลายลงมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่ในขณะที่ผู้คนเหล่านั้นรู้สึกไม่พอใจและตามไล่ล่าครอบครัวของโจเซฟ แต่ฉันและคนอื่นๆที่กลับรู้สึกชื่นชมยินดี เพราะโจเซฟและครอบครัวได้ทำให้ดินแดนต่างๆที่พวกเขาเดินทางผ่านกลายเป็นสถาน ที่แห่งพระพร และอียิปต์เองก็ได้กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วยเหตุผลนี้
เป็นเวลากว่าสองปีที่พวกเขาต้องคอยหลบหนีเอาชีวิตรอด เป็นเวลากว่าสองปีแล้วนับจากคืนแห่งความตาย ณ เมืองเบธเลเฮม คืนวันนั้นที่พระเยซูคริสต์ได้ถือกำเนิดขึ้น
ในคืนนั้นทูตสวรรค์ได้บันดาลให้โจเซฟฝันถึงเหตุการณ์อันเป็นนิมิต เตือนให้รู้ล่วงหน้าว่าจะมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น ขณะเดียวกันเฮโรดผู้ชั่วร้ายก็ได้ส่งลูกน้องที่โหดเหี้ยมที่สุดของตนให้มา ฆ่าพระเยซูคริสต์น้อยที่เพิ่งลืมตามาดูโลก ในตอนนั้นพระนางมารีก็ตื่นขึ้นด้วยสัญชาติญาณแห่งความเป็นแม่ จูบลูกน้อยเบาๆเพื่อปลุกให้ตื่น แล้วค่อยๆหนีออกมา ณ ช่วงเวลาแห่งความมืดมิดยามเที่ยงคืน ท่ามกลางเสียงกรีดร้องและเสียงตะโกนแห่งความหวาดกลัว ในฝันของโจเซฟนั้น มีเสียงบอกเขาว่า “จงพาแม่ลูกคู่นี้ไปยังอียิปต์”
ตามตำนานเก่าแก่แห่งคริสต์ศาสนานั้นเล่าว่า ครอบครัวของโจเซฟออกเดินทางออกมาตามลำพังในคืนนั้น ไปตามเส้นทางที่เสี่ยงอันตรายในทะเลทรายเนเกฟ ด้วยความเชื่อและศรัทธาในพระเจ้า โดยมีดวงดาวเป็นผู้นำทาง หากจะเลือกใช้เส้นทางปกติที่ผ่านกาซ่า ก็กลัวว่าจะมีทหารที่กษัตริย์เฮโรดส่งมา ยืนถือดาบรอพวกเขาอยู่
เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนนับตั้งแต่วันที่โจเซฟเริ่มออกเดินทางจนเข้าสู่ อียิปต์ พวกเขาเปรียบเหมือนนักเดินทางแปลกหน้า อยู่ในดินแดนแปลกถิ่น ที่ตนไม่เคยรู้จัก โจเซฟและครอบครัวเดินทางไปเรื่อยๆด้วยความระมัดระวัง และไม่ไว้ใจผู้ใด
และในวันนี้ ถือเป็นวันครบรอบสองปีนับตั้งแต่วันประสูติของพระเยซูคริสต์ และแม้เวลาจะผ่านไปอีกหลายศตวรรษ ผู้คนก็ยังระลึกถึงความสำคัญของวันๆนี้ และเรียกว่าเป็นวันฉลองคริสต์มาส แต่ ณ คืนนั้น โจเซฟและครอบครัวยังเดินทางต่อไปตามลำพัง ไม่มีทูตสวรรค์มาขับขาน ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าบนสวรรค์ ไม่มีคนเลี้ยงแกะ ไม่มีโหราจารย์ทั้งสามที่นำทอง กำยาน และมดยอบมามอบให้เป็นของกำนัลแก่ทารกน้อย
โจเซฟไม่มีทั้งเงิน ไม่มีทั้งบ้าน เขาและครอบครัวต้องอาศัยที่พักคนงานใกล้ๆไซต์งานก่อสร้างเป็นที่พักชั่ว คราว และเนื่องจากเขาไม่ใช่ชาวอียิปต์ จึงเป็นได้เพียงเป็นคนงานนอกเวลา คอยเสริมตำแหน่งที่ยังว่างและขาดคน ไม่มีอัตราค่าจ้างที่แน่นอน นอกจากเท่าที่นายจ้างจะให้เท่านั้น แต่ไม่ว่าอย่างไร จงยิ้มไว้...โจเซฟ...คนต่างถิ่นในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ชาวต่างชาติที่มารับจ้างเป็นคนงานก่อสร้างในเขตทหารของอียิปต์หรือโรมัน
โจเซฟเดินทางมุ่งหน้าไปยังกรุงไคโรเก่า ที่ซึ่งอีกหลายร้อยปีหลังจากนั้นจะถูกบูรณะและสร้างขึ้นใหม่ กลายเป็นกรุงไคโรอย่างในปัจจุบัน กรุงไคโรเก่าตั้งอยู่ในแม่น้ำไนล์ โจเซฟเคยได้ยินมาว่าที่นั่นมีงานประจำให้กับช่างไม้มืออาชีพอย่างเขา ตำนานหลายฉบับที่เล่าต่อกันมายืนยันตรงกันว่าโจเซฟและครอบครัวตัดสินใจอาศัย อยู่ที่กรุงไคโรเก่าต่อไปอีกสองสามปี ด้วยการรอคอย และสวดอ้อนวอนให้ทูตสวรรค์มาบันดาลให้เกิดความฝันกับเขาอีกสักครั้ง โจเซฟเฝ้ารอนิมิตที่จะบอกให้เขารู้ว่าถึงเวลากลับบ้านแล้ว
ตามตำนานกล่าวว่า หลังจากนั้นต่อไปอีกห้าปี ขณะที่ยังอยู่ในอียิปต์ โจเซฟได้ฝันถึงนิมิตบอกเหตุอีกครั้ง ในฝันนั้นกษัตริย์เฮโรดผู้โหดเหี้ยมได้สิ้นพระชนม์ลง พระนางมารีเองก็ได้ยินข่าวลือเรื่องนี้มาจากตลาดเช่นเดียวกัน
โจเซฟและมารีปรึกษากัน และสวดอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาได้ข้อสรุปว่าถึงเวลาแล้วที่น่าจะพาลูกกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย บ้านในกาลิลี บ้านของพวกเขา ญาติพี่น้อง และบรรพบุรุษ
การเดินทางกลับสู่บ้านในกาลิลีใช้เวลาอีกหนึ่งเดือน พวกเขานั่งเรือล่องไปตามแม่น้ำไนล์ ขี่ลา แล้วเดินเท้าต่อไปอีก โจเซฟและครอบครัวยังคงเดินทางด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง เลือกใช้เส้นทางอ้อม แทนที่จะผ่านเมืองใหญ่อย่างเยรูซาเล็ม หรือนาซาเร็ธ จนมาถึงบ้านในที่สุด ทันทีที่ญาติพี่น้อง และสมาชิกในครอบครัวได้กลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง ทุกคนต่างก็ซาบซึ้ง ร้องไห้ด้วยความปลื้มปิติ แล้วผลัดกันเล่าเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาของแต่ละคน ใครจากไป ใครมีสมาชิกใหม่ในครอบครัว พวกเขาเหมือนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งหลังจากที่ต้องจากกันไปถึงหกปี
และเราขอใช้เรื่องราวอันศักดิ์สิทธิ์นี้เพื่อต้อนรับพวกคุณทุกคนที่มา เยือน ยินดีต้อนรับสู่บ้านเมอร์ซีอีกครั้ง อาจกล่าวได้ว่า “ศูนย์เมอร์ซี บ้านแสนวิเศษของพวกคุณ” แห่งนี้ คือ สถานที่แห่งความทรงจำที่เต็มเปี่ยมอยู่ในหัวใจของคุณทุกคน ความทรงจำอันแสนหวานที่มักมีความทุกข์เจือปนอยู่ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ขอให้เราทุกคนจงกลับบ้านของตน จากที่ๆพวกคุณอยู่ และที่นี่บ้านของพวกเรา หากโชคดี เราอาจได้พบโจเซฟ พระนางมารี และพระเยซูคริสต์พระองค์น้อย กำลังก้าวเดินไปตามทาง หรือคุณอาจได้พบเด็กที่ถูกทอดทิ้งอยู่ข้างถนน บางทีพวกเขาอาจเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพระเยซูคริสต์ก็ได้ จงกอดพวกเขาไว้ แล้วอวยพรให้เขามีความสุขในวันคริสต์มาสนี้